หนูน้อยภูมิแพ้…กับการดูแลสุขภาพในหน้าหนาว

ความรู้เด็ก   ลงวันที่

ปัจจุบันอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้แนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย จากการศึกษาในเด็กนั้น โรคภูมิแพ้ถือจัดเป็นกลุ่มอาการที่เกิดกับเด็กในอันดับต้นๆ โดยเด็กหลายคนมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้และอาการจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก ถ้าพ่อหรือแม่มีประสัติการเป็นภูมิแพ้มาก่อน ซึ่งโรคภูมิแพ้จะส่งผลกระทบทั้งในด้านเศรษฐกิจและด้านคุณภาพชีวิตของตัวเด็กเองและของผู้ปกครองอีกด้วย

โรคภูมิแพ้ในเด็ก แบ่งเป็น 4 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่

1. โรคแพ้อาหาร

พบได้ตั้งแต่อายุน้อย โดยอาหารที่เป็นสาเหตุของอาการแพ้มากที่สุด ได้แก่ นมวัว นมถั่วเหลือง ถั่วลิสง แป้งสาลี ไข่ และอาหารทะเล

2. โรคผิวหนังอักเสบจากภูิมแพ้

เป็นโรคที่มีอาการผื่นคันบริเวณผิวหนัง โดยตำแหน่งของผื่นมักขึ้นอยู่กับช่วงอายุ

  • ระยะเด็กเล็ก  ผื่นมักจะพบที่แก้ม หน้าผาก หนังศีรษะ ข้อศอก หัวเข่า
  • ระยะเด็กโต  พบผื่นที่บริเวณข้อพับแขน ขา ข้อเท้า รวมถึงมือและเท้า
  • ระยะผู้ใหญ่  พบผื่นที่ข้อพับ หน้า คอ มือและเท้า

* ผู้ป่วยจะมีผื่นคันมากขึ้นเมื่อได้รับสิ่งกระตุ้น ซึ่งโดยทั่วไปในเด็กเล็กสิ่งที่กระตุ้น คือ “อาหารที่แพ้”

3. โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

ผู้ป่วยที่มีอาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหล และแน่นจมูก โดยส่วนใหญ่มักจะมีอาการมากในช่วงเช้าหรือเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้

4. โรคหอบหืด

ถ้าเป็นไม่มาก อาจเริ่มมีอาการไอในช่วงกลางคืน เหนื่อยง่าย ออกกำลังกายแล้วเหนื่อย และถ้ายิ่งได้รับสิ่งกระตุ้น เช่น สารก่อภูมิแพ้ หรือ สารระคายเคืองต่างๆ จะทำให้มีอาการหอบหืด หายใจดังเสียงวี้ดๆ

* โดยทั่วไปเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ชนดใดชนิดหนึ่งจะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดอื่นร่วมด้วย

ในช่วงอากาศหนาวๆ อย่างนี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าอาการภูมิแพ้ต่างๆ จะกำเริบซะแล้ว มีวิธีสังเกตดังนี้

  • อาการแพ้ทางผิวหนัง ผิวจะแห้งมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการคัน เด็กจะเกาจนส่งผลให้ลุกลามมากขึ้น
  • จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ จะเป็นหวัดมากขึ้น มีอาการจาม น้ำมูกไหล คันจมูกและคัดจมูก ซึ่งอาการเหล่านี้พบได้ในเด็กที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว และหากติดเชื้อซ้ำเติมก็จะทำให้มีอาการเพิ่มมากขึ้น จนอาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ไซนัสอักเสบ หูอักเสบได้
  • โรคหอบหืด นอกจากจะเป็นหวัดง่าย  และกระตุ้นให้เกิดอาการหอบแล้ว ในกลุ่มที่มีอาการหอบสัมพันธ์กับการออกกำลังกาย จะมีอาการได้ง่ายขึ้นในช่วงอากาศเย็นด้วย อาการที่สังเกตได้ คือ ไอช่วงกลางคืน หรือไอภายหลังจากออกกำลังกาย บางครั้งอาจหายใจมีเสียงวี้ดๆ และมีอาการหอบ

โรคภูมิแพ้ทุกชนิดเราป้องกันไม่ให้อาการมากขึ้นในฤดูหนาวโดย

  1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้โดยเฉพาะกลุ่มเชื้อรา โดยปิดหน้าต่างเมื่อมีลมแรง หมั่น กำจัดใบไม้ร่วงที่ทับถมบนพื้นดิน รวมถึงเศษหญ้าชื้นแฉะในสนามทั่วไป และควรสวมหน้ากาก ถ้าต้องทำกิจกรรมที่เสี่ยงกับการฟุ้งกระจายของเชื้อรา เช่น กวาดใบไม้หรือดูดฝุ่น ส่วนที่แพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดอื่น ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้อย่างเคร่งครัด
  2. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการหวัด พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดูแลให้ร่างกายอบอุ่น
  3. ควรใช้ยาควบคุมอาการเป็นประจำและสม่ำเสมอ ไม่ควรขาดยาในช่วงนี้ สำหรับการดูแลเฉพาะโรคนั้นอาจมีเพิ่มเติมเป็นพิเศษ ได้แก่
    • โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้  ควรดูแลไม่ให้ผิวแห้ง โดยหมั่นทาโลชั่นทุกวัน เช้า – เย็น
    • โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้  ถ้าเริ่มมีน้ำมูกควรล้างจมูกทุกวัน
    • โรคหอบหืด ก่อนออกกำลังกาย ควรมีการอบอุ่นร่ากายเสมอ และในรายที่มีอาการหอบในช่วงออกกำลังกาย อาจป้องกันโดยชใช้ ยาพ่นขยายหลอดลม ก่อนออกกำลังกายประมาณ 15-30 นาที และควรพกยาขยายหลอดลมติดตัวเสมอ

* ที่สำคัญ ผู้ป่วยภูมิแพ้ทุกชนิด หากสังเกตว่าร่างกายเริ่มมีอาการผิดปกติมากขึ้นแล้ว ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน

โดยทั่วไป สารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้นั้น พบว่า “ไรฝุ่น” เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยที่สุดในเด็กไทย มีผลการวินิจฉัยพบว่าไรฝั่นมักจะเจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ 25-30 องศาเซลเซียส จึงทำให้พบไรฝั่นตามที่นอน หมอน ผ้าห่ม รวมถึงตุ๊กตาที่อยู่บนเตียงนอน ถึงแม้ว่ายังไม่เคยมีการศึกษาว่าตุ๊กตาขนปุยจะมีฝุ่นสะสมมากกว่าตุ๊กตาจากผ้าชนิดอื่นๆ หรือไม่ แต่การที่มีขนปุยนั้น ก็น่าจะเป็นแหล่งสะสมของไรฝั่นได้ง่ายกว่า และทางที่ดีที่สุด คือ ผู้ที่แพ้ไรฝุ่น ควรหลีกเลี่ยงตุ๊กตาทุกชนิด

อย่างไรก็ตาม โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่จำเป็นต้องมีความเข้าใจในตัวโรค และมีการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการรักาานอกจากจะใช้ยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังจะต้องกำจัดสิ่งกระตุ้นซึ่งการรักษานอกจากจะเป็นการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังจะต้องกำจัดสิ่งกระตุ้น รวมถึงการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงซึ่งจะทำให้สามารถควบคุมอาการของโรคได้ และยิ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่ทราบว่าลูกมีอาการภูมิแพ้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งจะเป็นผลดีกับลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เพราะจะได้หาวิทธีป้องกัน ซึ่งจะช่วยลดการขาดเรียนและการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลบ่อยๆ ของคุณหนูๆ ได้ นอกจากนั้นยังช่วยลดการลางานของคุณพ่อคุณแม่เองอีกด้วยค่ะ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่ม

บทความที่เกี่ยวข้อง