เคล็ดลับ…เมื่อลูกกินยากช่างเลือก

ปัญหายอดฮิตที่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักพบเจอกันอยู่เสมอ คือ  ปัญหาพฤติกรรมกินยาก และช่างเลือกของลูกรัก โดยเมื่อถึงเวลาอาหารทีไรก็มักขัดแย้งกันบนโต๊ะอาหารทุกที เพราะลูกตั้งหน้าตั้งตาส่ายหน้า
ไม่กินนั่นไม่ชอบนี่ พร้อมกับปฏิเสธอาหารสารพันที่สรรหามาให้ตลอดเวลา ซึ่งไม่เพียงทำให้เราเกิดความรู้สึกหงุดหงิดที่จะต้องรบกับลูก แต่ยังเกิดความกังวลใจไปถึงในอนาคต เพราะกลัวว่าพฤติกรรมกินยาก แถมช่างเลือกจะทำให้ลูกกลายเป็นเด็กขาดสารอาหาร และมีพัฒนาการที่ไม่ดีไปในที่สุดอีกด้วยค่ะ

ทำความเข้าใจ…ทำไมลูกกินยากนักนะ

ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเปิดฉากรบกับลูกเพื่อบังคับให้กินให้ได้ ขอให้ใจเย็น ๆ สักนิด คิดทบทวนกันสักหน่อยก่อน เพราะโดยปกติพฤติกรรมกินยากและช่างเลือกนี้มักเกิดขึ้นกับเด็กทั่วไปเช่นกันค่ะ โดยเฉพาะในช่วงวัย 1-3 ปีที่พบได้บ่อยมาก เพราะไม่เพียงลูกจะเริ่มโตขึ้น มีความต้องการที่จะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ทำให้รู้จักปฏิเสธมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องกิน แต่ช่วงวัย 1 ปียังเป็นช่วงที่ลูกได้รับอาหารที่มีลักษณะแข็งขึ้น ทำให้ต้องใช้เวลาในการบดเคี้ยวมากขึ้นและนานขึ้น จึงไม่ง่ายเหมือนดูดนมหรืออาหารบดเหลวที่กินได้สะดวกอย่างที่ผ่านมา ทำให้ลูกต้องใช้เวลาปรับตัวปรับใจอยู่มาก ซึ่งในระยะนี้เองจึงทำให้มีพฤติกรรมแสดงออกถึงความไม่ชอบ ไม่เต็มอกเต็มใจที่จะกิน ส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ชอบไปหมด จนกลายเป็นพฤติกรรมกินยากให้เราได้พบเห็นนั่นเองค่ะ

เรื่องที่อยากรู้…ลูกของคุณเข้าข่ายกินยาก ช่างเลือกไหม?

คุณพ่อคุณแม่ที่ติดตามเรื่องราวมาถึงตรงนี้แล้ว บางท่านอาจยังไม่แน่ใจหรือสงสัยว่าลูกจะเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมกินยากและช่างเลือกหรือไม่ ดังนั้น ช่วงเวลาต่อไปจากนี้ขอแนะนำให้ลองสังเกตพฤติกรรมของลูกดูให้ดี ๆ แล้วล่ะค่ะว่าลูกมี 7 สัญญาณพฤติกรรมการกินเหล่านี้ เกิดขึ้นบ้างหรือไม่

7 สัญญาณพฤติกรรมการกิน Checklist

  • เลือกกินแต่อาหารที่ตัวเองโปรดปราน และต่อให้มีอาหารอย่างอื่นให้เลือกมากแค่ไหนก็ไม่สนใจกิน
  • ชอบกินแต่อาหารที่ซ้ำ ๆ กันทุกวัน และเรียกร้องที่จะกินแต่อาหารชนิดนั้นอย่างเดียว
  • เขี่ยอาหารที่ไม่ชอบออก แม้จะตักอาหารต่าง ๆ ใส่จานกันมากมายสักเพียงไหน ลูกก็คอยแต่จะเขี่ยออกไว้ข้างจานตลอด
  • กินน้อย แม้จะทำอาหารให้ดูน่ากินขนาดไหน ลูกก็กินไม่หมดจาน เพียงกินนิดเดียวก็ทำท่าอิ่มเสียแล้ว
  • กินอาหารช้าเป็นชั่วโมง ลูกจะละเลียดกิน เล็มกินทีละน้อย ๆ เคี้ยวได้ช้ามากจนคุณพ่อคุณแม่กินอิ่มไปนานแล้ว ลูกก็ยังกินไม่หมดจานสักที
  • ชอบอมข้าว หรืออมอาหารค้างไว้ในปากนาน ๆ โดยไม่ยอมเคี้ยวข้าวหรืออาหาร แต่จะอมอยู่อย่างนั้น และไม่ยอมกลืนอาหารลงคอ แม้จะป้อนเพิ่มใหม่ ลูกก็ยังอมเพิ่มมากขึ้นจนเป็นคำโต
  • ชอบกินขนม แต่ไม่ชอบกินผักผลไม้ จึงเลือกกินแต่ขนมของหวาน ของกินจุบกินจิบที่ไม่มีประโยชน์มากกว่าผลไม้ต่าง ๆ ที่สรรหามาให้เสมอ

ข้อควรระวัง !!!

ถ้าลูกคุณมีพฤติกรรมการกินอย่างใดอย่างหนึ่งข้างต้นหรือมีพฤติกรรมที่มากกว่า 1 อย่างขึ้นไป อย่าได้ปล่อยทิ้งไว้จนสายเกินแก้ คุณพ่อคุณแม่ควรต้องหันมาดูแลลูกเพิ่มขึ้นให้ดีนะคะ พร้อมดูแลเอาใจใส่เรื่องคุณค่าทางโภชนาการให้มากขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาของการขาดสารอาหาร หรือปัญหาพฤติกรรมอื่น ๆ ตามมาด้วยค่ะ เช่น การมีนิสัยการกินที่ไม่ดี เลือกกินแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์หรืออื่น ๆ

เมื่อทราบว่าพฤติกรรมกินยาก และช่างเลือกของลูกส่งผลให้เกิดภาวะขาดสารอาหารกันแล้ว ทราบไหมว่าภาวะขาดสารอาหารนี้ยังส่งผลต่อเนื่องไปถึงพัฒนาการของลูกด้วย ส่วนจะมีด้านไหนบ้าง เราไปติดตามกันค่ะ

รู้ทันผลกระทบ 4 ด้าน จากพฤติกรรมกินยาก ช่างเลือก

ด้านที่ 1 ด้านการเรียนรู้

โดยจะทำให้คะแนน Mental Development Index Score ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ของเด็กอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงเรียนรู้ได้ช้ากว่าเด็กทั่วไป

ด้านที่ 2 ด้านสุขภาพ

โดยจะไปเพิ่มโอกาสในการเจ็บป่วย เนื่องจากร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่เต็มที่

ด้านที่ 3 ด้านการเจริญเติบโต

โดยจะทำให้เด็กมีน้ำหนักตัวน้อย ตัวเตี้ย แคระแกรน ไม่แข็งแรงเหมือนเด็กทั่วไป

ด้านที่ 4 ด้านโภชนาการ

โดยจะทำให้เด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย และตกอยู่ในภาวะขาดสารอาหารได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ จึงควรดูแลแก้ไขให้ลูกได้รับโภชนาการที่มีคุณค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไปนะคะ โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงวัย 6 เดือนขึ้นไปที่ลูกจะต้องได้รับอาหารเสริม ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เด็กทั่วไปมีความสนใจในการสำรวจสิ่งต่าง ๆ อยู่แล้ว ทั้งยังมีความสนใจอาหารที่นำมาป้อนด้วย

ดังนั้นช่วงนี้คุณแม่จึงควรจัดเมนูอาหารหลายชนิดให้ครบทั้ง 7 กลุ่มอาหาร ไม่ว่าจะเป็นธัญพืช, ผัก, ผลไม้, น้ำมัน, นม, เนื้อสัตว์ และถั่ว เพื่อให้มั่นใจว่าลูกรักจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย แล้วยังเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้ทดลองรสชาติหลากหลาย ได้สัมผัสลักษณะอาหารที่แตกต่าง ได้มองเห็นสีสันของอาหารต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสายตา ได้รับรู้เรื่องกลิ่นของอาหาร

นอกจากนี้ควรปล่อยให้ลูกได้เล่นสำรวจกับอาหาร หรือปล่อยให้ลูกได้ป้อนอาหารเข้าปากเองบ้างนะคะ ถึงแม้จะดูเลอะเทอะจนน่าเหนื่อยใจ แต่ก็คุ้มค่ากับผลที่ได้รับ คือ ช่วยให้ลูกรู้สึกอยากกินและสนใจกินได้ค่ะ ซึ่งในช่วงนี้คุณแม่ก็เพียงค่อย ๆ ปรับลักษณะอาหารไปตามวัย เช่น ทำอาหารบดละเอียดให้กลายเป็นบดหยาบเมื่อลูกเริ่มมีฟันบดเคี้ยว จากนั้นปรุงให้เป็นอาหารอ่อนนิ่ม แล้วค่อยพัฒนาอาหารให้กลายเป็น 3 มื้อแบบผู้ใหญ่เมื่อลูกครบขวบปีแรกขึ้นไปนะคะ พร้อมกับให้ลูกได้ดื่มนมที่มีคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เป็นอาหารมื้อรองควบคู่ไปกับการกินอาหารมื้อหลักด้วย เพื่อช่วยป้องกันภาวะการขาดโภชนาการให้ลูกนั่นเองค่ะ

เทคนิคการปรับพฤติกรรมหนูน้อย

ทราบไหมว่าเราสามารถส่งเสริมพฤติกรรมการกินที่ดี หรือการสร้างนิสัยในการกินอาหารที่ดีให้กับลูกอย่างได้ผลมากกว่าใครค่ะ เพราะคุณพ่อคุณแม่ คือแบบอย่างที่สำคัญของลูก ซึ่งอยากจะเลียนแบบไปเสียทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องกินเมื่อทราบว่าคุณพ่อคุณแม่มีบทบาทสำคัญต่อลูกมากมายขนาดนี้แล้ว อย่าได้มองข้ามการส่งเสริมพฤติกรรมการกินที่ถูกต้องให้กับลูกตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ไปเชียวนะคะ ดังนี้

  • ไม่ส่งเสริมให้ลูกกินขนมจุบจิบของหวาน หรืออาหารที่มีแต่แป้งและน้ำตาลก่อนอาหารมื้อหลัก เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกอิ่มเสียก่อน จนไม่มีความอยากอาหารมื้อหลัก ถ้าอยากให้ลูกกินจริง ๆ ควรเปลี่ยนไปเป็นผลไม้หรือของว่างที่มีประโยชน์ดีกว่าค่ะ
  • ให้ลูกนั่งกินอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน โดยพร้อมหน้าทั้งคุณพ่อคุณแม่ และคนอื่นในบ้าน ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีและกระตุ้นให้ลูกรู้สึกอยากกินเพิ่มขึ้นได้นั่นเอง
  • ไม่บังคับลูกให้เริ่มกินอาหารที่ไม่คุ้นเคย  หรือไม่ชอบ หรือมีกลิ่นฉุน ๆ เช่น ผักที่มีกลิ่นมีเสี้ยนมาก ผลไม้ที่กลิ่นแรง ๆ เนื้อสัตว์ที่กลิ่นคาว เนื้อเหนียว แต่ควรให้อาหารที่กินได้ง่าย เช่น ผักควรเริ่มที่ฟักทองที่มีเนื้อนุ่มเนียน ไม่มีกลิ่นฉุน พร้อมดัดแปลงอาหารต่าง ๆ ให้มีสีสันน่ากิน ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้ลูกเกิดความรู้สึกอยากกิน เช่น จัดอาหารเป็นหน้าตาของการ์ตูน นางฟ้า หรือตัวสัตว์ต่างๆ ที่ลูกชอบ
  • สร้างความมีส่วนร่วมในการเตรียมอาหาร  เพื่อให้ลูกเกิดความรู้สึกอยากกิน ไม่ว่าจะเป็นการชวนลูกเข้าครัวไปเด็กผัก ล้างผัก จัดวางจานชามบนโต๊ะ หรือออกความเห็นว่าแต่ละมื้อควรทำอะไรกินดี หรืออื่น ๆ เท่าที่ลูกจะสามารถทำได้ตามวัยของเขานะคะ
  • เลือกภาชนะใส่อาหารที่ดึงดูดความสนใจของลูก ไม่ว่าจะเป็นจาน ชาม ช้อน แก้วน้ำลวดลายการ์ตูนที่ลูกโปรดปราน เช่น มิกกี้เม้าส์ คิตตี้แคท หมีพูห์ หรืออื่น ๆ พร้อมกับชวนลูกไปซื้อหาอุปกรณ์การกินให้เป็นของตัวเอง โดยให้ลูกมีโอกาสเลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ
  • สร้างบรรยากาศสนุกสนานน่าสนใจ ชักชวนหรือโน้มน้าวให้ลูกกินด้วยคำพูดดี ๆ ท่าทีสบาย ๆ ไม่เร่งรัด บังคับ ขู่เข็ญ หรืออ้อนวอนให้ลูกกินเป็นอันขาด เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีให้ลูกมีความสุข สนุกที่จะกิน ไม่เบื่อที่จะกิน พร้อมสร้างบรรยากาศที่ดีด้วยการชวนคุยถามไถ่ถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพื่อให้ลูกเล่าไปกินไปด้วยก็ดีค่ะ จะยิ่งช่วยให้ลูกรู้สึกเจริญอาหารมากขึ้นนะคะ
  • ชื่นชมเมื่อลูกกินอาหารได้ดี  เมื่อเห็นลูกกินอาหารได้ดี ควรชมเชยอย่างเหมาะสมจริงใจอย่าชมจนดูโอเว่อร์เกินจริงนะคะ เพราะลูกสามารถรับรู้ได้ถึงความไม่จริงใจ ทำให้ไม่เชื่อถือเราได้ แล้วสิ่งที่ควรระวัง คืออย่าสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้ลูกต้องยอมรับ หรือทำตามที่เราต้องการ เช่น โกหก ดุว่า ใช้อารมณ์ลงโทษ หรือบังคับให้ลูกกินให้ได้ดั่งใจที่เราต้องการ เพราะลูกจะยิ่งต่อด้าน และรู้สึกไม่ดีในการกินค่ะ
  • เล่านิทานสนุก ๆ จูงใจให้ลูกอยากกิน  เด็ก ๆ ชอบฟังนิทาน และมักเชื่ออย่างจริงใจในสิ่งที่เล่าเสมอค่ะ เราจึงสามารถจูงใจลูกด้วยการเล่านิทานสนุกที่แฝงคำสอนให้รู้จักกินอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ และมีพฤติกรรมการกินที่ดีได้ด้วยนะคะ

แบบอย่างพ่อแม่สำคัญที่สุด

การเป็นต้นแบบในการกินอาหารที่มีประโยชน์ การมีพฤติกรรมการกินที่ดี ถือเป็นเรื่องสำคัญของการส่งเสริมนิสัยการกินให้ลูกได้เป็นอย่างดี อยากให้ลูกกินผัก ผลไม้ ดื่มนม หรืออาหารอื่นใด เราต้องกินอย่างเต็มใจให้ลูกเห็น พร้อมกับชี้แนะประโยชน์ของอาหารต่าง ๆ ให้ลูกรู้จักกินได้อย่างมีคุณค่าตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่ม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ถุงใต้ตาและร่องใต้ตา

ถุงใต้ตาและร่องใต้ตา (Baggy Eyelid and Tear Trough Deformity) โดย นพ. เอกชัย เลาวเลิศ   (ภาพแสดงลักษณะถุงใต้ตา และร่องใต้ตา) ถุงใต้ตาทำให้ใบหน้าดูโทรม อ่อนล้า และดูมีอายุ ไม่สดใส ร่วมกันกับการมีร่องใต้ตาที่ลึก เมื่อถ่ายรูป และยิ้ม อาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจที่จะยิ้ม หรือแสดงสีหน้า สร้างความลำบากในการเข้าสังคม และเสียบุคลิกภาพ (ภาพแสดงลักษณะกายวิภาคการเกิดถุงใต้ตา) ถุงใต้ตาเกิดจากลักษณะเอ็นยึดใต้เบ้าตา (Orbital Retaining Ligament) และเอ็นยึดเบ้าส่วนร่องน้ำตา (Tear Trough Ligament) หย่อน (Attenuation) เห็นเป็นร่องชัด และมีถุงไขมันใต้ตาชั้นลึก (Retroseptal Fat Pad) เริ่มขยายและหย่อนตัวลง (herniation) เหนือเอ็นยึด ทำให้เห็นเป็นถุงปูดเหนือร่องใต้เบ้าตา (ภาพแสดงการแก้ไขจัดเรียงไขมันถุงใต้ตา) เพื่อให้ร่องชัดน้อยลง และเห็นถุงปูดน้อยลง สามารถแก้ไขได้โดยการสลายเอ็นยึดดังกล่าว และจัดเรียงไขมัน หรือนำออกบางส่วนเพื่อให้ระหว่างเบ้าตา และใบหน้าส่วนแก้ม (Lid-Cheek Junction) มีร่องลึกรอยต่อที่เห็นได้ชัดน้อยลง […]

GJ E-Magazine เล่มที่ 30

GJ E-Magazine ฉบับที่ 30 (เดือนมกราคม 2568) “การรักษาด้วยออกซิเจนบำบัดแรงดันสูง” คลิกที่นี่เพื่ออ่าน   ไฟล์ขนาดใหญ่สำหรับพิมพ์ : คลิกที่นี่

สมุนไพรต้านอากาศหนาว

สมุนไพรต้านอากาศหนาว พจ.รณกร โลหะฐานัส ตามตำราแพทย์จีน ความเย็น เป็นลมฟ้าอากาศหลักในฤดูหนาว ในฤดูหนาวมีโอกาสป่วยจากความเย็นได้ง่าย ถ้ารักษาความอบอุ่นของร่างกายไม่เพียงพอ เช่น อยู่ในที่มีอากาศหนาวเย็นเกินไป สวมใส่เสื้อผ้าบางเกินไป โดนฝน แช่อยู่ในน้ำเย็นนานเกินไป จะมีโอกาสเจ็บป่วยจากความเย็นได้ง่าย คุณสมบัติของความเย็นและการเกิดโรค ความเย็นชอบทำลายหยาง ความเย็นเป็นอิน ปกติลมปราณอินจะถูกควบคุมด้วยลมปราณหยาง อินเพิ่มทำให้หยางป่วย เกิดจากลมปราณอินเพิ่มขึ้นและย้อนไปข่มหยาง ลมปราณหยางไม่สามารถสร้างความอบอุ่นเป็นพลังผลักดันการทำงานของร่างกายจึงเกิดกลุ่มอาการเย็น เช่น ถ้าความเย็นมากระทบที่ส่วนนอกของร่างกายผลักดันหยางให้เข้าไปอยู่ในร่างกาย จะทำให้มีอาการกลัวหนาว เหงื่อไม่ออก ปวดศีรษะ ปวดตัว ปวดข้อ ถ้าความเย็นกระทบกระเพาะอาหาร จะทำให้ปวดเย็นในท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ถ้าความเย็นกระทบปอด จะทำให้ไอ หอบ มีเสมหะใส ถ้าความเย็นกระทบไต จะทำให้ปวดเย็นที่เอว ปัสสาวะมาก บวมน้ำ ความเย็นทำให้หยุดนิ่ง ติดขัด เมื่อความเย็นเข้าทำลายหยาง ทำให้เลือดลมไม่ไหลเวียน เกิดการติดขัดและปวดขึ้น ถ้าให้ความอบอุ่นจะทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น อาการปวดทุเลาลง ความเย็นทำให้หดเกร็ง เมื่อความเย็นมากระทบส่วนนอกของร่างกาย ทำให้ผิวหนังหดตัว รูขุมขนปิด เส้นลมปราณตีบตัน หยางที่ปกป้องร่างกายไม่ไหลเวียนมาที่ส่วนนอก ทำให้เป็นไข้ กลัวหนาว เหงื่อไม่ออก […]

การรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูด้วยเลเซอร์กำลังสูง

High Power Laser Therapy การรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูด้วยเลเซอร์กำลังสูง โดย พญ.เยาวพา ฉันทไกรวัฒน์ เลเซอร์กำลังสูง (Laser Class IV) คือคลื่นที่ถูกสังเคราะห์ให้มีความยาวคลื่นเดียว (Monochromaticity) ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่า (Invisible Light) มีกำลัง 0.5 วัตต์ขึ้นไป มีความยาวคลื่นที่สม่ำเสมอ (Directionality) มีทิศทางของคลื่นที่แน่นอน สามารถลงลึกถึงตำแหน่งที่รักษาได้ประมาณ 6 ซม. ข้อแตกต่างจากเลเซอร์ทั่วไป : ส่งพลังงานได้สูง รวดเร็ว ลงตำแหน่งที่ทำการรักษาได้ลึก ข้อดี : ผู้ป่วยไม่รู้สึกปวดขณะทำการรักษา ค่อนข้างเห็นผลได้ทันทีหลังการรักษา ใช้เวลาไม่นาน 5-10 นาทีต่อตำแหน่งที่ทำการรักษา รักษาได้ทั้งโรคเฉียบพลันไปจนถึงเรื้อรัง   ประโยชน์ของการรักษาด้วยเลเซอร์กำลังสูง กระตุ้นการทำงานของเนื้อเยื่อให้มีการซึมผ่านของของเหลวผ่านหลอดเลือดได้ดี ช่วยลดอาการบวม ช้ำ ที่ตำแหน่งของการรักษา ลดการสังเคราะห์โปรตีนที่ทำให้เกิดอาการปวด ลดการหลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการอักเสบเฉียบพลัน กระตุ้นการซ่อมสร้างหลอดเลือด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเส้นประสาท กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวในกระบวนการเสริมภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมให้มีกระบวนการหายของบาดแผล สร้างคอลลาเจน […]