ผลข้างเคียงทั่วไปและการดูแลตนเองเบื้องต้นจากยาเคมีบำบัด

ผลข้างเคียงทั่วไปและการดูแลตนเองเบื้องต้นจากยาเคมีบำบัด

โดย นพ. วรเศรษฐ์ สายฝน

ผลข้างเคียง : คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร

คำแนะนำ :

  • กินอาหารย่อยง่าย เลี่ยงอาหารครีม มัน เนย รสจัด ของทอด ของมัน
  • อาจลองกินอาหารรสชาติเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว / อาหารแห้งๆ เช่น ขนมปังปิ้ง ขนมปังกรอบ
  • กินครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยๆ
  • กินช้าๆ เคี้ยวละเอียด เพื่อให้ย่อยง่าย
  • หากการรับรสผิดปกติ รู้สึกขมตลอดเวลา ควรหาลูกอมที่ทำให้รู้สึกสดชื่น
  • หากกินอาหารได้น้อยลงมาก อาจกินอาหารเสริมทางการแพทย์

————————————————————————————–

ผลข้างเคียง : ท้องเสีย

คำแนะนำ :

  • ดื่มน้ำมากๆอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
  • ดื่มผงเกลือแร่ผสมกับน้ำบ่อยๆ
  • กินยาแก้ท้องเสียตามแพทย์สั่ง

————————————————————————————–

ผลข้างเคียง : ช่องปากอักเสบ

คำแนะนำ :

  • บ้วนปากอย่างน้อย 4 ครั้ง/วัน ด้วย น้ำเกลือ หรือ ผสมเกลือ 2 ช้อนชากับเบกกิ้งโซดา 2 ช้อนชาในน้ำ 1 ลิตร
  • แปรงฟันด้วยแปรงขนอ่อนนุ่มหลังอาหารทุกมื้อและก่อนนอน
  • กินอาหารอ่อน เคี้ยวง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไอศกรีม วุ้น พุดดิ้ง แตงโม
  • เลี่ยงอาหารรสจัด
  • เลี่ยงน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ระคายเคืองมากขึ้น

————————————————————————————–

ผลข้างเคียง : ผิวหนัง/เล็บคล้ำ

คำแนะนำ :

  • ไม่เป็นอันตรายใดๆ แต่อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสวยงาม
  • เลี่ยงการถูกแสงแดดนานๆ
  • ตัดเล็บให้สั้น

————————————————————————————–

ผลข้างเคียง : ผมร่วง

คำแนะนำ :

  • สระผมด้วยแชมพูเด็ก หวีผมเบาๆ หลีกเลี่ยงการย้อมหรือดัดผม
  • ใส่หมวกไหมพรมหรือผ้าคลุม หากรู้สึกเย็นที่ศีรษะ

————————————————————————————–

ผลข้างเคียง : ชาปลายมือปลายเท้า (ยาที่มักทำให้ชา ได้แก่ oxaliplatin, paclitaxel, cisplatin, carboplatin, docetaxel)

คำแนะนำ :

  • หากเริ่มชาเล็กน้อย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม และเลี่ยงการสัมผัสของเย็นหรือของร้อน
  • หากชาจนรบกวนชีวิตประจำวัน เช่น ติดกระดุมลำบาก เดินแล้วรองเท้าหลุด ให้แจ้งแพทย์ในวันที่นัดตรวจ

————————————————————————————–

ผลข้างเคียง : ฝ่ามือ ฝ่าเท้าอักเสบ (ยาที่มักทำให้มีอาการมือเท้าอักเสบ ได้แก่ capecitabine, doxorubicin)

คำแนะนำ : 

  • ทาครีมให้ผิวหนังชุ่มชื้น
  • หลีกเลี่ยงการเสียดสีของฝ่ามือ ฝ่าเท้า เช่น การเดินนานๆ การใส่รองเท้าที่คับแน่นเกินไป
  • ตรวจดูฝ่ามือฝ่าเท้าทุกวัน หากมีอาการเจ็บเมื่อสัมผัสของร้อน เจ็บเท้าตอนเดิน เจ็บตอนบิดลูกบิด ให้หยุดยาชั่วคราว เมื่ออาการเจ็บหายไปให้กินยาต่อได้
  • หากผิวลอก มีตุ่มน้ำ หรือแตกเป็นแผล ให้หยุดยาและมาพบแพทย์

————————————————————————————–

ผลข้างเคียง : ไข้ จากเม็ดเลือดขาวต่ำ

คำแนะนำ :

  • หากมีไข้ > 38 องศาเซลเซียส หรือหนาวสั่น โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 10-14 หลังได้ยาเคมีบำบัด (เป็นช่วงที่เม็ดเลือดขาวต่ำที่สุด) ต้องมาเจาะเลือดดูปริมาณเม็ดเลือดขาว หากพบภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำต้องมาโรงพยาบาลทันที

————————————————————————————–

ผลข้างเคียง : อ่อนเพลีย

คำแนะนำ :

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ทำกิจวัตรเท่าที่จำเป็น
  • อาการอ่อนเพลียมักจะค่อยๆดีขึ้นเองเมื่อเวลาผ่านไป

————————————————————————————–

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่ม

บทความที่เกี่ยวข้อง

การฝังเข็มเลิกบุหรี่

จากการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลการสูบบุหรี่ในประเทศไทย พบว่า ผลการสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากรในปี 2564 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 57 ล้านคน พบว่า ผู้สูบบุหรี่ 9.9 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 17.4 ซึ่งมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบจากปี 2560 ซึ่งสูงถึงร้อยละ 19.1(กองงานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ กรมควบคุมโรค) ถึงแม้ว่าการเสพติดบุหรี่ เป็นปัญหาที่สำคัญทางสังคมและการแพทย์ ซึ่งมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อมนุษย์ เนื่องจากบุหรี่มีสารพิษมากกว่า100ชนิดที่เกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบด้านสุขภาพที่ทำให้เกิดโรคร้ายจากการสูบบุหรี่ ทั้งนี้บุหรี่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงหลายชนิด เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคปอดอักเสบ โรคมะเร็ง อายุขัยสั้นลง เกิดความพิการของทารกในครรภ์ ฯลฯ นอกจากนี้ควันบุหรี่มีผลกับสมองและระบบประสาทซึ่งในควันบุหรี่มีสารนิโคตินที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท สารนี้สามารถผ่านไปสู่สมองภายในเวลา10-20วินาที หลังจากดูดบุหรี่แต่ละครั้งปริมาณนิโคตินในเลือดค่อยๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งสารนิโคตินมีฤทธิ์เพิ่มการหลั่งสารสื่อประสาทโดปามีน (Dopamine) ที่ควบคุมความรู้สึกและอารมณ์ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเคลิ้มสุข(Euphoria) ความรู้สึกสุขสบายนี้จะเกิดขึ้นในการสูบบุหรี่ครั้งแรก ๆ เมื่อสูบบุหรี่ติดต่อไปในระยะหนึ่งจะเกิดการดื้อทำให้แม้ผู้สูบจะสูบบุหรี่ติดต่อกันเป็นเวลานานก็ไม่เกิดความรู้สึกสุขสบายจากการสูบบุหรี่แต่ต้องสูบบุหรี่เพื่อระงับภาวะถอนยา หรือภาวะอยากยาทางจิต (Psychological Withdrawal Syndrome) ทำให้เกิดอาการต่างๆได้แก่ เครียด หงุดหงิด ฉุนเฉียว กระวนกระวาย […]

ฝังเข็มเจ็บมากไหม ? อันตรายหรือไม่ ?

ฝังเข็มเจ็บมากไหม ? อันตรายหรือไม่ ? โดย พจ.ลดาวรรณ โชติกุลวรพฤกษ์ การฝังเข็ม(ภาษาจีน: 針灸; ภาษาอังกฤษ: Acupuncture) เป็นการแพทย์ทางเลือกแขนงหนึ่ง โดยการฝังเข็มเป็นการใช้เข็มปักลงไปตามจุดต่างๆบนร่างกาย ตามจุดสำคัญๆที่มีการบันทึกไว้ตั้งแต่โบราณมาแล้วว่า มีความสำคัญและสัมพันธ์กับอวัยวะต่างๆในร่างกาย จุดฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์มีอยู่หลายร้อยจุด แต่จุดที่มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจน ในเอกสารตำราแพทย์จีนโบราณและในเอกสารอ้างอิงขององค์การอนามัยโลก(WHO)มีอยู่จำนวน 349 จุด บนเส้นลมปราณ (meridian) หลักๆ 12 เส้นหลัก และอีก 2 เส้นรอง ซึ่งแต่ละเส้นจะมีชื่อเรียกและหน้าที่อย่างชัดเจน การฝังเข็มให้เกิดผลในการรักษาโรค ไม่ใช่เพียงแพทย์จีนปักเข็มไปตามร่างกายเท่านั้น แต่แพทย์จีนยังต้องมีเทคนิคหลายอย่างในขั้นตอนการฝังเข็ม การเลือกรักษากับแพทย์จีนที่มีความรู้เกี่ยวกับเข็มและอุปกรณ์การฝังเข็มเป็นอย่างดี ทั้งการเลือกใช้ประเภทของเข็ม ข้อระวัง วิธีการใช้ เทคนิคต่างๆในการกระทำต่อเข็มเพื่อให้ผลการรักษาได้ผลดี ตั้งแต่เริ่มการจับเข็ม การลงเข็ม การถอนเข็ม รวมถึงการเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพปลอดภัยและปลอดเชื้อ แพทย์จีนใช้เข็มอะไรฝังเข็มคนไข้ ปัจจุบันการฝังเข็มได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาโรคควบคู่ไปกับการแพทย์แผนตะวันตก หลายครั้งมีคำถามว่า เข็มที่แพทย์จีนใช้ปักบนร่างกายของคนไข้ใช้เข็มอะไร? เหมือนเข็มฉีดยาไหม? ใหญ่ไหม? ปลอดภัยหรือเปล่า?  แล้วเจ็บหรือเปล่า? รูปที่1 ลักษณะเข็มที่ใช้ในการฝังเข็ม เข็มที่แพทย์จีนนิยมใช้แพร่หลายที่สุดคือ เข็มที่มีลักษณะกลม-บาง ปลายเข็มแหลมคม ความยาวอยู่ระหว่าง […]

รังสีร่วมรักษากับการรักษามะเร็ง

รังสีร่วมรักษากับการรักษามะเร็ง โดย นพ. พิพิธ ปิตุวงศ์ (แพทย์รังสีร่วมรักษาของลำตัว) รู้หรือไม่!!! รังสีแพทย์ก็ทำการรักษาผู้ป่วยเหมือนกัน รังสีร่วมรักษา ไม่ใช่รังสีรักษานะ มะเร็งบางชนิดสามารถรักษาหายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และ ไม่ต้องได้ยาเคมีบำบัด ———————————————————————————————————————– มารู้จักกับแพทย์รังสีร่วมรักษากันเถอะ แพทย์รังสีร่วมรักษาเป็นแพทย์ที่เรียนต่อเฉพาะทาง ทางด้านรังสีวินิจฉัย ซึ่งผู้ป่วยมักจะไม่ค่อยได้พบรังสีแพทย์ด้านนี้เท่าไหร่ เนื่องจากเราทำงานอยู่เบื้องหลัง ช่วยแปลผลภาพให้แพทย์เฉพาะทางด้านอื่นๆ ได้ดูแลผู้ป่วยได้ถูกต้อง แม่นยำขึ้น เราจะมีความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องเอกซ์เรย์ เครื่องฟลูโอโรสโคปี้ระบบดิจิตอล เครื่องอัลตราซาวด์ และ เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดแพทย์เฉพาะทาง ทางรังสีลงไปอีก คือ แพทย์รังสีร่วมรักษา ที่จะใช้อุปกรณ์ทางรังสีดังกล่าว เพื่อนำทางในการรักษาผู้ป่วย โดยไม่ต้องผ่าตัด อีกทั้งมีความแม่นยำสูง และแผลเล็กนิดเดียว  เช่น การเจาะระบายหนองทางหน้าท้อง, การให้ยาเคมีบำบัดกับเส้นเลือดที่จำเพาะไปยังก้อนมะเร็ง, การรักษาภาวะหลอดเลือดผิดปกติผ่านทางสายระบายหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัด และ การจี้ก้อนมะเร็งผ่านทางผิวหนังด้วยเข็มขนาดเล็กโดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นต้น รังสีร่วมรักษานะ ไม่ใช่รังสีรักษา หลายคนมีความสับสนระหว่างแพทย์รังสีร่วมรักษา กับ แพทย์รังสีรักษา ด้วยความที่ชื่อภาษาไทยมีความคล้ายกันอย่างมาก แต่อันที่จริงการทำงานของเราต่างกันโดยสิ้นเชิง เปรียบเทียบได้ตามตารางข้างล่างนี้ รังสีร่วมรักษา รังสีรักษา ภาษาอังกฤษ คือ […]

โภชนาการสำหรับผู้ป่วยวัณโรคปอด

โภชนาการสำหรับผู้ป่วยวัณโรคปอด นายธนวัฒน์ ชาชิโย (นักวิชาการโภชนาการ)   วัณโรค เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยโดย พ.ศ.2558 องค์การอนามัยโลกจัดให้ประเทศไทย เป็น 1 ใน 14 ประเทศ ที่มีปัญหาวัณโรครุนแรงระดับโลก และคาดประมาณจำนวนผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ 120,000 รายต่อปี วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและสามารถวัณแพร่เชื้อโดยการไอ จาม ฝอยละอองเสมหะที่ออกมาจากปอดของผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคและผู้ที่ติดเชื้อวัณโรคก็คือผู้ที่หายใจรับเชื้อวัณโรคที่ล่องลองในอากาศเข้าสู่ปอด   อาการของผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคปอดที่มีมักพบ คือ เบื่ออาหาร ไอ มีเสมหะ เหนื่อย หอบ ต่อมรับรสผิดปกติ ซึ่งอาการดังกล่าวคือผลจากโรคและผลข้างเคียงจากยา  ทำให้ผู้ป่วยวัณโรคปอดมีน้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างรวดเร็ว และก่อให้เกิดภาวะทุพโภชนาการได้ในภายหลัง และเมื่อร่างกายขาดสารอาหารจึงส่งต่ออาการของโรคและการแพ้ยารุนแรง ภาวะทุพโภชนาการกับวัณโรค โดยปกติแล้วผู้ป่วยวัณโรค จะได้รับการรักษาและยา ตามที่แนวทางการรักษาของแพทย์ แต่อาหารก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้ป่วยวัณโรค หรือผู้ดูแลต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้น้อยลง จากอาการที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ส่งผลให้น้ำหนักจะลดลงเร็วมากถึง 3 –5 กิโลกรัมใน 2 สัปดาห์ ซึ่งส่งผลต่อค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ทำให้มีค่าต่ำกว่าเกณฑ์ และมวลกล้ามเนื้อลดลง จากการได้รับสารอาหารและพลังงานไม่เพียงพอ ซึ่งผลต่อสุขภาพโดยรวม เช่น ภูมิคุ้มกันลดลง […]