ต้อหิน…ภัยเงียบที่น่ากลัว

ความรู้ทั่วไป, โรคทางจักษุ   ลงวันที่

ต้อหินเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นถาวรที่พบได้มากที่สุด มีคนไทยมากกว่า2ล้านคนเป็นต้อหิน และกว่า76ล้านคนทั่วโลกในปี2020

อาการ

โดยส่วนใหญ่ในเบื้องต้นผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการแสดงใดๆจึงทำให้ไม่ทราบว่าตนเองเป็นต้อหิน การตรวจพบได้ใน

ระยะนี้จึงมักจะเป็นการตรวจพบโดยบังเอิญ จากนั้นการมองเห็นจะเริ่มแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมีอาการตามัวซึ่งเป็นการที่พบ

ได้ในระยะท้ายของโรค และหากไม่ได้รับการรักษาก็จะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด ยกเว้นในรายที่เป็นต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน จะมี

อาการปวดตาอย่างรุนแรง ปวดศีรษะ ตามัว ตาแดง สู้แสงไม่ได้ น้ำตาไหล ซึ่งถือเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องพบจักษุแพทย์

ที่มา : ชมรมต้อหินแห่งประเทศไทย

สาเหตุ

ต้อหินเกิดจากการความผิดปกติของการไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา อาจจะเกิดได้จากการสร้างน้ำที่มากขึ้น หรือมีการขับออกของน้ำน้อยกว่าปกติ เมื่อมีน้ำขังมากขึ้นก็ทำให้ความดันตาสูงขึ้น จึงเกิดการทำลายเซลล์ในขั้วประสาทตา

โดยทั่วไปค่าความดันตาปกติจะอยู่ที่5-22มิลลิเมตรปรอท หากพบความดันตาสูงกว่า22มิลลิเมตรปรอท จะถือว่ามีความดันตาสูง และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดต้อหิน

*ที่มา: https://www.specialtyeyecarecentre.com/glaucoma-seattle/

 

ประเภท

  1. แบ่งตามลักษณะมุมตา ได้แก่ ต้อหินชนิดมุมตาปิด และต้อหินชนิดมุมตาเปิด
  2. แบ่งตามสาเหตุ ได้แก่ “ต้อหิน” ชนิดปฐมภูมิที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน และ “ต้อหิน” ชนิดทุติยภูมิที่มีสาเหตุจากโรคตาอื่่น ๆ เช่น เคยเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา, การอักเสบในลูกตา, ต้อกระจก, เบาหวานขึ้นตา เป็นต้น
  3. แบ่งตามระยะการเกิดโรด ได้แก่ ต้อหินเฉียบพลัน และต้อหินเรื้อรัง

การรักษา

เนื่องจากต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากขั้วประสาทตาถูกทำลายอย่างถาวร เซลล์ที่ตายแล้วจะไม่สามารถกำเนิดใหม่ได้อีก  การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองเพื่อไม่ให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายมากขึ้นและคงการมองเห็นที่มีอยู่ให้ได้นานที่สุด โดยการรักษาจะแบ่งออกเป็น

  1. การรักษาด้วยยา เป็นการรักษาเบื้องต้นที่ดีที่สุด เป้าหมายคือเพื่อลดความดันตาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ขั้วประสาทตาจะไม่ถูกทำลายมากขึ้น การรักษาวิธีนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องหยอดยาให้สม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน โดยอาจจะเริ่มด้วยยาเพียงชนิดเดียวหรือหลายชนิด แพทย์จะทำการติดตามผลเป็นระยะเพื่อปรับยา ดูการดำเนินโรค และดูผลข้างเคียงของยา
  2. การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ การรักษาวิธีนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของต้อหิน และระยะของโรค
  • Laser peripheral iridotomy (LPI) ใช้สำหรับการรักษาต้อหินมุมปิด เพื่อป้องกันการเกิดต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน
  • Selective laser trabeculoplasty (SLT) ใช้สำหรับการรักษาต้อหินมุมเปิด โดยอาจใช้เป็นการรักษาแรกๆเพื่อลดความดันตา หรือใช้เสริมเมื่อใช้ยาหยอดแล้วได้ผลไม่ดีนัก
  • Laser cyclophotocoagulation ใช้ในกรณีที่ใช้วิธีการรักษาอื่นๆแล้วไม่ได้ผล
  1. การรักษาโดยการผ่าตัด ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมความดันตาโดยการหยอดยาหรือเลเซอร์ได้ โดยการผ่าตัดมีได้หลายวิธี เช่น การผ่าตัดทำทางระบายน้ำภายในลูกตา(Trabeculectomy) การผ่าตัดใส่ท่อระบายน้ำลูกตา(Glaucoma drainage device)

การนวดตา สมุนไพร และอาหารเสริม ไม่ใช่การรักษาที่เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ นอกจากไม่ทำให้เกิดประโยชน์แล้ว ยังอาจจะก่อให้เกิดโทษทำให้โรคแย่ลง โดยเฉพาะในผู้ป่วยต้อหินระยะสุดท้าย

ปัจจัยเสี่ยง

ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ควรมาพบจักษุแพทย์เพื่อคัดกรองต้อหินปีละครั้ง ได้แก่

  • อายุมากกว่า 40 ปี
  • มีญาติสายตรง(บิดามารดา พี่น้อง)เป็นต้อหิน และมีอายุมากกว่า 35 ปี
  • มีประวัติอุบัติเหตุที่ตา
  • ใช้สารสเตียรอยด์เป็นประจำ
  • สายตาสั้นมาก หรือสายตายาวมาก
  • เป็นเบาหวาน

 

They are commonly written in a

Nonetheless, this is https://www.affordable-papers.net/ frequently not true.

casual way.

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่ม

คลินิกจักษุวิทยา

  • โทร 02 849 6600 ต่อ ต่อ 3300

บทความที่เกี่ยวข้อง

มะเร็งปอด

มะเร็งปอด นพ.คมน์สิทธิ์ ทองธรรมชาติ (อายุรศาสตร์มะเร็งว […]