ลูกท้องผูกทำอย่างไรดี

ลูกท้องผูกทำอย่างไรดี

หาก ลูกท้องผูก แบบธรรมดาไม่เกี่ยวกับอาการติดเชื้อ ส่วนมากจะเกิดกับเด็กที่ทานนมผสม หรือ เริ่มทานอาหารเสริม เพราะถ้าลูกทานนมแม่อยู่ระบบขับถ่ายของลูกจะดีมากถ่ายวันละหลายครั้ง เมื่อลูกท้องผูกคุณแม่สามารถช่วยได้ดังนี้ค่ะ

ถ้าลูกท้องผูกในช่วงที่ยังเป็นเด็กเล็กอยู่ ก็ให้ทานนมแม่ดีกว่าค่ะ เพราะในน้ำนมแม่มีสารอาหารที่ดีสำหรับลูกน้อย ทำให้ระบบขับถ่ายของลูกเป็นไปอย่างปกติ แต่ถ้าไม่ได้ทานนมแม่ ให้ผสมน้ำลูกพรุนลงไปในนมประมาณ 1 ช้อนชาลูกจะขับถ่ายดีขึ้นค่ะ แต่ไม่ต้องทุกวันนะคะ เฉพาะวันที่ลูกท้องผูกเท่านั้นค่ะ หรือให้ทานน้ำให้มากกว่าเดิมทานให้ได้วันละประมาณ 4 ออนซ์ก็ช่วยได้ค่ะ

ถ้าลูกท้องผูกในช่วงอายุมากว่า 4 เดือนขึ้นไป กระเพาะอาหารของลูกจะทำงานได้ดีขึ้น สามารถให้ลูกทานอาหารเสริมได้แต่ไม่ควรมากเกินไปเพราะอาหารหลักของลูกยังควรเป็นนมอยู่ อาหารเสริมของลูกที่ท้องผูกคือ บดเนื้อลูกพรุนให้ลูกกินซัก 2 ช้อนชา หรือ เป็นน้ำลูกพรุนก็ได้ค่ะ

ถ้าลูกท้องผูกช่วงอายุ 6 เดือนขึ้นไป แนะนำให้เป็นพวกอาหารเสริมที่คุณแม่ทำเอง เน้นอาหารมีมีพวกกากใยสูง พวกผัก ผลไม้ น้ำผลไม้คั้นเอง แล้วให้ลูกดื่มน้ำเยอะ ๆ ค่ะ

เด็กที่มีอายุ 2-3 ปีขึ้นไป ให้ลดอาหารที่ทำมาจากนมเนย เพราะอาหารเหล่านี้มีไขมันสูง สามารถทำให้ท้องผูกได้ค่ะ และเด็กในช่วงวัยนี้สามารถฝึกการขับถ่ายได้แล้ว คุณแม่ต้องช่วยลูกในเรื่องนี้ด้วยนะคะ ลูกจะได้คุ้นชินกับการขับถ่ายเป็นเวลาค่ะ

คุณแม่ที่เจอปัญหา ลูกท้องผูก อย่าวิตกกังวลมากไปนะคะ ถือเป็นเรื่องปกติของเด็กเกือบทุกคน สิ่งที่คุณแม่ต้องทำคือคอยสังเกตอาการลูกหรือสังเกตอุจจาระของลูก คุณพ่อคุณแม่ต้องใช้ความอดทนและอย่าปล่อยให้ลูกท้องผูกนาน ๆ หรือ เรื้อรั้ง ควรช่วยลูกให้หายจากอาการท้องผูกโดยเร็ว และไม่ควรจะฝึกให้ลูกขับถ่ายเร็วเกินอายุ 1 ปีครึ่ง เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำอะไรซักอย่าง ลูกจะต่อต้าน และจะกั้นอุจจาระและปัสสาวะไว้ เหตุนี้จะเกิดผลเสียอย่างมากค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ถุงใต้ตาและร่องใต้ตา

ถุงใต้ตาและร่องใต้ตา (Baggy Eyelid and Tear Trough Deformity) โดย นพ. เอกชัย เลาวเลิศ   (ภาพแสดงลักษณะถุงใต้ตา และร่องใต้ตา) ถุงใต้ตาทำให้ใบหน้าดูโทรม อ่อนล้า และดูมีอายุ ไม่สดใส ร่วมกันกับการมีร่องใต้ตาที่ลึก เมื่อถ่ายรูป และยิ้ม อาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจที่จะยิ้ม หรือแสดงสีหน้า สร้างความลำบากในการเข้าสังคม และเสียบุคลิกภาพ (ภาพแสดงลักษณะกายวิภาคการเกิดถุงใต้ตา) ถุงใต้ตาเกิดจากลักษณะเอ็นยึดใต้เบ้าตา (Orbital Retaining Ligament) และเอ็นยึดเบ้าส่วนร่องน้ำตา (Tear Trough Ligament) หย่อน (Attenuation) เห็นเป็นร่องชัด และมีถุงไขมันใต้ตาชั้นลึก (Retroseptal Fat Pad) เริ่มขยายและหย่อนตัวลง (herniation) เหนือเอ็นยึด ทำให้เห็นเป็นถุงปูดเหนือร่องใต้เบ้าตา (ภาพแสดงการแก้ไขจัดเรียงไขมันถุงใต้ตา) เพื่อให้ร่องชัดน้อยลง และเห็นถุงปูดน้อยลง สามารถแก้ไขได้โดยการสลายเอ็นยึดดังกล่าว และจัดเรียงไขมัน หรือนำออกบางส่วนเพื่อให้ระหว่างเบ้าตา และใบหน้าส่วนแก้ม (Lid-Cheek Junction) มีร่องลึกรอยต่อที่เห็นได้ชัดน้อยลง […]

GJ E-Magazine เล่มที่ 30

GJ E-Magazine ฉบับที่ 30 (เดือนมกราคม 2568) “การรักษาด้วยออกซิเจนบำบัดแรงดันสูง” คลิกที่นี่เพื่ออ่าน   ไฟล์ขนาดใหญ่สำหรับพิมพ์ : คลิกที่นี่

สมุนไพรต้านอากาศหนาว

สมุนไพรต้านอากาศหนาว พจ.รณกร โลหะฐานัส ตามตำราแพทย์จีน ความเย็น เป็นลมฟ้าอากาศหลักในฤดูหนาว ในฤดูหนาวมีโอกาสป่วยจากความเย็นได้ง่าย ถ้ารักษาความอบอุ่นของร่างกายไม่เพียงพอ เช่น อยู่ในที่มีอากาศหนาวเย็นเกินไป สวมใส่เสื้อผ้าบางเกินไป โดนฝน แช่อยู่ในน้ำเย็นนานเกินไป จะมีโอกาสเจ็บป่วยจากความเย็นได้ง่าย คุณสมบัติของความเย็นและการเกิดโรค ความเย็นชอบทำลายหยาง ความเย็นเป็นอิน ปกติลมปราณอินจะถูกควบคุมด้วยลมปราณหยาง อินเพิ่มทำให้หยางป่วย เกิดจากลมปราณอินเพิ่มขึ้นและย้อนไปข่มหยาง ลมปราณหยางไม่สามารถสร้างความอบอุ่นเป็นพลังผลักดันการทำงานของร่างกายจึงเกิดกลุ่มอาการเย็น เช่น ถ้าความเย็นมากระทบที่ส่วนนอกของร่างกายผลักดันหยางให้เข้าไปอยู่ในร่างกาย จะทำให้มีอาการกลัวหนาว เหงื่อไม่ออก ปวดศีรษะ ปวดตัว ปวดข้อ ถ้าความเย็นกระทบกระเพาะอาหาร จะทำให้ปวดเย็นในท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ถ้าความเย็นกระทบปอด จะทำให้ไอ หอบ มีเสมหะใส ถ้าความเย็นกระทบไต จะทำให้ปวดเย็นที่เอว ปัสสาวะมาก บวมน้ำ ความเย็นทำให้หยุดนิ่ง ติดขัด เมื่อความเย็นเข้าทำลายหยาง ทำให้เลือดลมไม่ไหลเวียน เกิดการติดขัดและปวดขึ้น ถ้าให้ความอบอุ่นจะทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น อาการปวดทุเลาลง ความเย็นทำให้หดเกร็ง เมื่อความเย็นมากระทบส่วนนอกของร่างกาย ทำให้ผิวหนังหดตัว รูขุมขนปิด เส้นลมปราณตีบตัน หยางที่ปกป้องร่างกายไม่ไหลเวียนมาที่ส่วนนอก ทำให้เป็นไข้ กลัวหนาว เหงื่อไม่ออก […]

การรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูด้วยเลเซอร์กำลังสูง

High Power Laser Therapy การรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูด้วยเลเซอร์กำลังสูง โดย พญ.เยาวพา ฉันทไกรวัฒน์ เลเซอร์กำลังสูง (Laser Class IV) คือคลื่นที่ถูกสังเคราะห์ให้มีความยาวคลื่นเดียว (Monochromaticity) ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่า (Invisible Light) มีกำลัง 0.5 วัตต์ขึ้นไป มีความยาวคลื่นที่สม่ำเสมอ (Directionality) มีทิศทางของคลื่นที่แน่นอน สามารถลงลึกถึงตำแหน่งที่รักษาได้ประมาณ 6 ซม. ข้อแตกต่างจากเลเซอร์ทั่วไป : ส่งพลังงานได้สูง รวดเร็ว ลงตำแหน่งที่ทำการรักษาได้ลึก ข้อดี : ผู้ป่วยไม่รู้สึกปวดขณะทำการรักษา ค่อนข้างเห็นผลได้ทันทีหลังการรักษา ใช้เวลาไม่นาน 5-10 นาทีต่อตำแหน่งที่ทำการรักษา รักษาได้ทั้งโรคเฉียบพลันไปจนถึงเรื้อรัง   ประโยชน์ของการรักษาด้วยเลเซอร์กำลังสูง กระตุ้นการทำงานของเนื้อเยื่อให้มีการซึมผ่านของของเหลวผ่านหลอดเลือดได้ดี ช่วยลดอาการบวม ช้ำ ที่ตำแหน่งของการรักษา ลดการสังเคราะห์โปรตีนที่ทำให้เกิดอาการปวด ลดการหลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการอักเสบเฉียบพลัน กระตุ้นการซ่อมสร้างหลอดเลือด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเส้นประสาท กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวในกระบวนการเสริมภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมให้มีกระบวนการหายของบาดแผล สร้างคอลลาเจน […]