- Home
- Blog
- ความรู้แผนไทย
- การรักษาไมเกรนด้วยยาสมุนไพร
การรักษาไมเกรนด้วยยาสมุนไพร
ไมเกรนเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง มีลักษณะเฉพาะที่สำคัญ
คือ อาการปวดศีรษะโดยมักปวดข้างเดียว หรือเริ่มปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง แต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้ หรือบางครั้งอาจปวดศีรษะทั้งสองข้างพร้อมๆ กันตั้งแต่แรก
ผู้ป่วยโรคไมเกรนส่วนใหญ่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ โดยผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชาย และพบในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์และจิตใจสูง
ลักษณะอาการปวดศีรษะไมเกรน
- มักจะปวดตุบๆ ตามจังหวะการเต้นของชีพจร
- อาการปวดมีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก
- ขณะที่ปวดศีรษะ มักจะมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย
- ระยะเวลาปวดอาจนานหลายชั่วโมง และมักไม่เกินหนึ่งวัน
- ในบางรายจะมีอาการเตือนนำมาก่อนหลายนาที เช่น สายตาพร่ามัว หรือ มองเห็นแสงกระพริบ
- อาการปวดมักกำเริบไม่เป็นเวลา อาจปวดขึ้นมา กลางดึก หรือปวดตอนเช้าหลังตื่นนอน
สาเหตุการเกิดโรค
สาเหตุการเกิดโรคยังไม่เป็นที่แน่ชัด อาจเป็นผลจากความผิดปกติในการทำงานของสมอง
ที่มีผลกระทบต่อการสื่อกระแสประสาท ระดับสารเคมีในสมอง และความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง
ทำให้ผู้ป่วยรับความรู้สึกและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย และจากข้อมูลทางระบาดวิทยาพบว่าไมเกรนสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
ปัจจัยกระตุ้นอาการ
ปัจจัยกระตุ้นอาการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง(ร้อนหรือเย็นเกินไป) การอยู่ท่ามกลางแสงแดด
เป็นเวลานาน กลิ่นน้ำหอม ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย ความเครียดจากการทำงาน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในร่างกาย
ซึ่งมักพบในเพศหญิงช่วงที่มีประจำเดือน และการใช้ยาฮอร์โมนคุมกำเนิดบางชนิดจะกระตุ้นอาการปวดไมเกรนให้รุนแรงมากขึ้น
การรักษา
การรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรน ได้แก่
- การบรรเทาอาการปวดศีรษะที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยา เช่น การประคบเย็น การประคบร้อน การนวดกดจุด
และการนอนหลับพักผ่อน เมื่อร่างกายรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นอาการปวดศีรษะก็จะค่อยๆลดลง - การป้องกันไม่ให้เกิด หรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะ เช่น การออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
และการรับประทานยาป้องกันไมเกรน เมื่อมีความถี่ของอาการปวดศีรษะสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไป และมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
แนวคิดทางการแพทย์แผนไทยจะเทียบเคียงโรคไมเกรนกับโรคลมปะกัง
ซึ่งโรคลมปะกัง(ลมตะกังหรือสันนิบาตลมปะกัง) หมายถึง โรคลมชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะมาก อาจปวดข้างเดียวหรือปวดสองข้างก็ได้ บางตำราว่ามักเป็นเวลาเช้า ผู้ป่วยอาจจะมีอาการอื่นร่วม เช่น ตาพร่า วิงเวียน อาเจียน ซึ่งมีความสอดคล้องกับลักษณะอาการของโรคไมเกรนทางแผนปัจจุบัน
การรักษาโรคลมปะกังตามทฤษฎีแพทย์แผนไทย
เริ่มจากแพทย์แผนไทยจะต้องทำการตรวจวินิจฉัยโดยการตรวจร่างกายทางการแพทย์แผนไทย จับชีพจรบริเวณข้อมือ เพื่อให้ทราบว่าการเจ็บป่วยเกิดจากการเสียสมดุลของธาตุชนิดใด
ในร่างกาย และซักประวัติว่าผู้ป่วยมีพฤติกรรมใดบ้างที่เป็นสาเหตุในการเกิดโรค เช่น การทำงานหนัก ภาวะความเครียดสะสม เพื่อหาแนวทางในการรักษาโดยการปรับพฤติกรรมที่ก่อโรค และปรับสมดุลให้ธาตุในร่างกายผู้ป่วยกลับคืนสู่สภาวะปกติ
กลไกการเกิดโรคลมปะกังทางการแพทย์แผนไทย
เกิดขึ้นจากธาตุไฟและธาตุลมที่ผิดปกติ กล่าวให้เข้าใจโดยง่ายคือ อาการจากความผิดปกติของธาตุไฟ ทำให้ดวงตาร้อน สู้แสงไม่ได้ ชีพจรเต้นแรง ตัวร้อนผิดปกติ และอาการจากความผิดปกติของธาตุลม ทำให้คลื่นไส้ พะอืดพะอม ใจสั่น เสียดชายโครงปวดหัวตุบๆ มึนหัว หรือมีอาหารหูอื้อ จากการติดขัดของลมอุทธังคมาวาตา(ลมขึ้นเบื้องสูงที่พัดจากปลายเท้าขึ้นไปศีรษะ) ส่งผลให้เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก
หลักการรักษาทางการแพทย์แผนไทยจึงใช้ตำรับยาหอม
เพื่อช่วยในการกระจายเลือดลม ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ วิงเวียน หน้ามืด ใจสั่น หรือคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งตำรับยาหอม
มีทั้งรสสุขุมร้อน และรสสุขุมหอม จึงมีสรรพคุณเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ตำรับยาหอมรสสุขุมร้อน ได้แก่ ยาหอมนวโกฐและยาหอมอินทจักร์ มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
ของสารสกัดตำรับยาหอมทั้งสองตำรับ พบว่ามีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินอาหาร
และระบบประสาทส่วนกลาง ดังนี้- ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด สารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐมีฤทธิ์
เพิ่มความดันช่วงหัวใจบีบ (systolic) ได้มากและนานกว่า ตำรับยาหอมอินทจักร์ สารสกัดทั้งสองตำรับมีผลต่อความดันช่วงหัวใจคลาย (diastolic) ได้ใกล้เคียงกัน และมีผลลดอัตราการเต้นของหัวใจเล็กน้อยในช่วงเวลา 45-90 นาที สารสกัดตำรับยาหอมทั้งสองมีฤทธิ์เพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดที่สมองหนู โดยเป็นผล
มาจากการขยายตัวของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กของสมอง มีผลทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น จึงช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะและภาวะเป็นลมหมดสติ - ผลต่อระบบทางเดินอาหาร สารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรด และมีฤทธิ์ยับยั้งการหดตัวของลำไส้เล็กได้มากกว่าสารสกัดตำรับยาหอมอินทจักร์ ดังนั้นยาหอมนวโกฐจึงช่วยลดอาการปวดเกร็งของลำไส้ได้ จึงช่วยแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน พะอืดพะอมได้ดี
- ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง สารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางมากกว่าสารสกัดตำรับยาหอมอินทจักร์ เนื่องจากสารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐมีฤทธิ์กดการเคลื่อนไหวของสัตว์ทดลอง ในการทดสอบโดยวิธี Locomoter activity test ส่วนสารสกัดตำรับยาหอมอินทจักร์ไม่มีฤทธิ์ดังกล่าว และสารสกัดตำรับยาหอมทั้งสองชนิดมีฤทธิ์ทำให้ระยะเวลา
การออกฤทธิ์ของยานอนหลับ pentobarbital ยาวนานขึ้น
- ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด สารสกัดตำรับยาหอมนวโกฐมีฤทธิ์
- ตำรับยาหอมรสสุขุมหอม ได้แก่ ยาหอมเทพจิตรและยาหอมทิพโอสถ ซึ่งมีแนวทางการใช้
ทางการแพทย์แผนไทยที่ต่างกัน โดยยาหอมเทพจิตรมีตัวยาหลักคือ ดอกมะลิ ซึ่งมีสรรพคุณบำรุงจิตใจ
ให้ชุ่มชื่น จึงเหมาะสำหรับการใช้ลดความเครียด ลดความวิตกกังวลและช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น สอดคล้องกับรายงานวิจัยน้ำมันหอมระเหยจากดอกมะลิ
ที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้จิตใจให้สดชื่นหลังการนวดอโรมา และในตำรับยังมีผิวส้ม
เป็นส่วนประกอบ จึงมีสรรพคุณแก้ลมวิงเวียน หน้ามืดตาลาย บำรุงหัวใจ ซึ่งการใช้น้ำมันผิวส้มนวดอโรมา ก็ช่วยทำให้คลายกังวลและสงบระงับได้เช่นกัน
ส่วนยาหอมทิพโอสถจะมีสรรพคุณเด่นด้านการบำรุงกำลัง บำรุงเลือด เหมาะสำรับสตรีที่มีอาการหงุดหงิดโกรธง่ายและปวดศีรษะไมเกรนในช่วงก่อนมีรอบเดือน เนื่องจากเป็นผลกระทบของ ความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้น ก่อนมีรอบเดือนและกระทบต่อจิตใจ การใช้ยาที่มีเกสรดอกไม้เป็นส่วนผสมจะช่วยลดผลกระทบของความร้อนดังกล่าวและทำให้จิตใจเย็นลง โดยไม่ทำให้โลหิตเย็นจึงไม่กระทบต่อการมีรอบเดือน
ปัจจุบันนี้คนไทยส่วนใหญ่มีลักษณะการทำงานที่เร่งรีบและมีความแข่งขันสูง ทำให้แนวโน้มการเกิดโรคยอดฮิตอย่างไมเกรนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อพิจารณาโรคไมเกรนในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย ก็จะเห็นแนวคิดที่สอดคล้องกันบางประการ เช่น กลไกการเกิดโรคที่ถูกกระตุ้นจากความเครียด ลักษณะอาการปวด และสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวด
ดังนั้นการประยุกต์ใช้แนวทางการรักษาร่วมกันจึงเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ เนื่องจากความเจ็บป่วย
ไม่ได้มาจากสาเหตุเดียว หากเรารักษาแค่ตามอาการโดยไม่หาสาเหตุปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องย่อมทำให้โรค
ไม่หายขาด การรักษาแบบผสมผสาน (Integrative Medicine) จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งเสริมประสิทธิภาพการรักษาให้ดียิ่งขึ้น
เอกสารอ้างอิง
- 1. รังสรรค์ ชัยเสวิกุล. ไมเกรน. บทความสุขภาพจากเว็บไซต์ SIRIRAJ ONLINE.
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. มหาวิทยาลัยมหิดล. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 26, 2563,
จาก https://www.si.mahidol.ac.th/siriraj_online/thai_version/Health_detail.asp?id=105
- รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล. จะเลือกใช้ยาหอม อย่างไรจึงจะดี. บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.
คณะเภสัชศาสตร์. มหาวิทยาลัยมหิดล. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 26, 2563,
จาก https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/103/จะเลือกใช้ยาหอมอย่างไรจึงจะดี/
- นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. ยาหอม มรดกทางภูมิปัญญา ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์.
บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน. คณะเภสัชศาสตร์. มหาวิทยาลัยมหิดล. สืบค้นเมื่อ มีนาคม 26,2563,
จาก https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/283/ยาหอม/
- การแพทย์แผนไทยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือกเขตสุขภาพที่3.(2561).
คู่มือแนวทางเวชปฏิบัติ (44). สืบค้นเมื่อ มีนาคม 26,2563,
จาก http://www.ppho.go.th/webppho/dl_strat/F20181018140227.pdf - มูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์ไทยเดิม.(2552). ตำราการแพทย์ไทยเดิมแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ฉบับอนุรักษ์เล่มที่ 1 (พิมพ์ครั้งที่ 2).กรุงเทพฯ: ศุภวนิชการพิมพ์
- กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก.(2556).พจนานุกรมศัพท์แพทย์และเภสัชกรรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน(พิมพ์ครั้งที่3).กรุงเทพฯ:สำนักกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
ในพระบรมราชูปถัมภ์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่ม
คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์
- โทร 02 849 6600 ต่อ ต่อ 4018