โรคอ้วนทุกระดับ เรารักษาได้

โรคอ้วนทุกระดับ เรารักษาได้

โดย พญ. เปรมกมล ภัทรอิทธิกุล (แพทย์ศัลยศาสตร์ผ่าตัดส่องกล้อง)

เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าอ้วน

  1. ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ³ 30 kg/m2

Body Mass Index (BMI) =       (น้ำหนัก kg)

(ส่วนสูง เมตร)2

ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกณฑ์การแบ่ง
< 18.5 น้ำหนักน้อย
18.5 – 24.9 น้ำหนักปกติ
25 – 29.9 น้ำหนักเกิน
30 – 34.9 โรคอ้วนระดับที่ 1
35 – 39.9 โรคอ้วนระดับที่ 2
³ 40 โรคอ้วนระดับที่ 3 หรือ โรคอ้วนทุพพลภาพ

 

  1. Body fat composition: ไขมันสะสมในร่างกาย ผู้หญิง > 30%, ผู้ชาย > 25%

 

โรคอ้วนทุพพลภาพ (Morbid obesity) คืออะไร?

ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ³ 40 kg/m2

 

โรคอ้วนทุพพลภาพส่งผลต่อร่างกายยังไง

โรคอ้วนทุพพลภาพส่งผลต่อทุกระบบในร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกลุ่มโรคทางเมตาบอลิซึม (metabolic syndrome) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น ไขมันเกาะตับ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคข้อเข่าเสื่อม ทั้งยังมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ เช่น ถุงน้ำรังไข่ เป็นผลให้มีบุตรยาก นอกจากนั้นยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอีกหลายชนิด เช่น โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งลำไส้ และโรคมะเร็งหลอดอาหาร จากผลกระทบของโรคอ้วนทุพพลภาพที่กล่าวมาแล้ว ทำให้คุณภาพชีวิตของคนไข้กลุ่มนี้แย่ลง และเพิ่มอัตราการเสียชีวิต

 

 

ทำไมต้องรักษาโรคอ้วนทุพพลภาพ

โรคอ้วนทุพพลภาพทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและโรคต่างๆตามมาดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ส่งผลทำให้อายุสั้นลงเฉลี่ย 7-10ปี เมื่อเทียบกับคนทั่วไปในวัยเดียวกัน

 

การรักษาโรคอ้วนมี 4 วิธี

  1. Lifestyle modification: การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เลือกกินอาหารที่เหมาะสม และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ หรือที่เรียกว่า “กินน้อย ใช้มาก”
  2. Medication: ใช้ยาที่ได้รับการรับรองทางการแพทย์ เพื่อช่วยในการลดและควบคุมน้ำหนัก ซึ่งมักจะต้องมาพบแพทย์ และได้รับการสั่งจ่ายยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตามข้อบ่งชี้ในการใช้ยา เพื่อให้สามารถลดน้ำหนักได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
  3. Endoscopic Bariatric procedures: การทำหัตถการผ่านการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้นเพื่อลดน้ำหนัก เช่น การใส่บอลลูน การเย็บกระเพาะอาหารให้เล็กลง
  4. Bariatric surgery: การผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนัก เช่น การตัดกระเพาะแบบสลีฟ การตัดกระเพาะแบบสลีฟพลัส หรือการตัดกระเพาะแบบบายพาส เป็นต้น

 

 

 

 

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่ม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ถุงใต้ตาและร่องใต้ตา

ถุงใต้ตาและร่องใต้ตา (Baggy Eyelid and Tear Trough Deformity) โดย นพ. เอกชัย เลาวเลิศ   (ภาพแสดงลักษณะถุงใต้ตา และร่องใต้ตา) ถุงใต้ตาทำให้ใบหน้าดูโทรม อ่อนล้า และดูมีอายุ ไม่สดใส ร่วมกันกับการมีร่องใต้ตาที่ลึก เมื่อถ่ายรูป และยิ้ม อาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจที่จะยิ้ม หรือแสดงสีหน้า สร้างความลำบากในการเข้าสังคม และเสียบุคลิกภาพ (ภาพแสดงลักษณะกายวิภาคการเกิดถุงใต้ตา) ถุงใต้ตาเกิดจากลักษณะเอ็นยึดใต้เบ้าตา (Orbital Retaining Ligament) และเอ็นยึดเบ้าส่วนร่องน้ำตา (Tear Trough Ligament) หย่อน (Attenuation) เห็นเป็นร่องชัด และมีถุงไขมันใต้ตาชั้นลึก (Retroseptal Fat Pad) เริ่มขยายและหย่อนตัวลง (herniation) เหนือเอ็นยึด ทำให้เห็นเป็นถุงปูดเหนือร่องใต้เบ้าตา (ภาพแสดงการแก้ไขจัดเรียงไขมันถุงใต้ตา) เพื่อให้ร่องชัดน้อยลง และเห็นถุงปูดน้อยลง สามารถแก้ไขได้โดยการสลายเอ็นยึดดังกล่าว และจัดเรียงไขมัน หรือนำออกบางส่วนเพื่อให้ระหว่างเบ้าตา และใบหน้าส่วนแก้ม (Lid-Cheek Junction) มีร่องลึกรอยต่อที่เห็นได้ชัดน้อยลง […]

GJ E-Magazine เล่มที่ 30

GJ E-Magazine ฉบับที่ 30 (เดือนมกราคม 2568) “การรักษาด้วยออกซิเจนบำบัดแรงดันสูง” คลิกที่นี่เพื่ออ่าน   ไฟล์ขนาดใหญ่สำหรับพิมพ์ : คลิกที่นี่

สมุนไพรต้านอากาศหนาว

สมุนไพรต้านอากาศหนาว พจ.รณกร โลหะฐานัส ตามตำราแพทย์จีน ความเย็น เป็นลมฟ้าอากาศหลักในฤดูหนาว ในฤดูหนาวมีโอกาสป่วยจากความเย็นได้ง่าย ถ้ารักษาความอบอุ่นของร่างกายไม่เพียงพอ เช่น อยู่ในที่มีอากาศหนาวเย็นเกินไป สวมใส่เสื้อผ้าบางเกินไป โดนฝน แช่อยู่ในน้ำเย็นนานเกินไป จะมีโอกาสเจ็บป่วยจากความเย็นได้ง่าย คุณสมบัติของความเย็นและการเกิดโรค ความเย็นชอบทำลายหยาง ความเย็นเป็นอิน ปกติลมปราณอินจะถูกควบคุมด้วยลมปราณหยาง อินเพิ่มทำให้หยางป่วย เกิดจากลมปราณอินเพิ่มขึ้นและย้อนไปข่มหยาง ลมปราณหยางไม่สามารถสร้างความอบอุ่นเป็นพลังผลักดันการทำงานของร่างกายจึงเกิดกลุ่มอาการเย็น เช่น ถ้าความเย็นมากระทบที่ส่วนนอกของร่างกายผลักดันหยางให้เข้าไปอยู่ในร่างกาย จะทำให้มีอาการกลัวหนาว เหงื่อไม่ออก ปวดศีรษะ ปวดตัว ปวดข้อ ถ้าความเย็นกระทบกระเพาะอาหาร จะทำให้ปวดเย็นในท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ถ้าความเย็นกระทบปอด จะทำให้ไอ หอบ มีเสมหะใส ถ้าความเย็นกระทบไต จะทำให้ปวดเย็นที่เอว ปัสสาวะมาก บวมน้ำ ความเย็นทำให้หยุดนิ่ง ติดขัด เมื่อความเย็นเข้าทำลายหยาง ทำให้เลือดลมไม่ไหลเวียน เกิดการติดขัดและปวดขึ้น ถ้าให้ความอบอุ่นจะทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น อาการปวดทุเลาลง ความเย็นทำให้หดเกร็ง เมื่อความเย็นมากระทบส่วนนอกของร่างกาย ทำให้ผิวหนังหดตัว รูขุมขนปิด เส้นลมปราณตีบตัน หยางที่ปกป้องร่างกายไม่ไหลเวียนมาที่ส่วนนอก ทำให้เป็นไข้ กลัวหนาว เหงื่อไม่ออก […]

การรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูด้วยเลเซอร์กำลังสูง

High Power Laser Therapy การรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูด้วยเลเซอร์กำลังสูง โดย พญ.เยาวพา ฉันทไกรวัฒน์ เลเซอร์กำลังสูง (Laser Class IV) คือคลื่นที่ถูกสังเคราะห์ให้มีความยาวคลื่นเดียว (Monochromaticity) ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่า (Invisible Light) มีกำลัง 0.5 วัตต์ขึ้นไป มีความยาวคลื่นที่สม่ำเสมอ (Directionality) มีทิศทางของคลื่นที่แน่นอน สามารถลงลึกถึงตำแหน่งที่รักษาได้ประมาณ 6 ซม. ข้อแตกต่างจากเลเซอร์ทั่วไป : ส่งพลังงานได้สูง รวดเร็ว ลงตำแหน่งที่ทำการรักษาได้ลึก ข้อดี : ผู้ป่วยไม่รู้สึกปวดขณะทำการรักษา ค่อนข้างเห็นผลได้ทันทีหลังการรักษา ใช้เวลาไม่นาน 5-10 นาทีต่อตำแหน่งที่ทำการรักษา รักษาได้ทั้งโรคเฉียบพลันไปจนถึงเรื้อรัง   ประโยชน์ของการรักษาด้วยเลเซอร์กำลังสูง กระตุ้นการทำงานของเนื้อเยื่อให้มีการซึมผ่านของของเหลวผ่านหลอดเลือดได้ดี ช่วยลดอาการบวม ช้ำ ที่ตำแหน่งของการรักษา ลดการสังเคราะห์โปรตีนที่ทำให้เกิดอาการปวด ลดการหลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการอักเสบเฉียบพลัน กระตุ้นการซ่อมสร้างหลอดเลือด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเส้นประสาท กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวในกระบวนการเสริมภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมให้มีกระบวนการหายของบาดแผล สร้างคอลลาเจน […]