- Home
- Blog
- ความรู้ทั่วไป
- นิ่วในถุงน้ำดี
นิ่วในถุงน้ำดี

นิ่วในถุงน้ำดี
นพ.อนุชิต เลิศศิริธง ศัลยแพทย์ผ่าตัดส่องกล้อง และส่องกล้องรักษาโรคทางเดินอาหารขั้นสูง
นิ่วในถุงน้ำดี คือภาวะที่มีการตกผลึกของส่วนประกอบในน้ำดีจนกลายเป็นก้อนนิ่ว ซึ่งเป็นโรคของระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย หลายคนอาจจะสับสนกับนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมีสาเหตุ อาการและภาวะแทรกซ้อนที่แตกต่างนิ่วในถุงน้ำดีอย่างมาก
สาเหตุของนิ่วในถุงน้ำดี ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี แต่พบว่ามีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เกิดการตกผลึกของส่วนประกอบในน้ำดีจนกลายเป็นก้อนนิ่วได้มากขึ้น ได้แก่
- เพศหญิง มีโอกาสเป็นนิ่วถุงน้ำดีมากกว่าเพศชายประมาณ 2-3 เท่า โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ > 40 ปี เคยมีการตั้งครรภ์ เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มการหลั่งคอเลสเตอรอลในน้ำดี และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่ลดการบีบตัวของถุงน้ำดี
- โรคทางพันธุกรรมบางอย่างที่ทำให้มีการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงได้ง่าย เช่น ธาลัสซีเมีย, ภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD
- ภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน หรือชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงๆ
- การลดน้ำหนักเร็วๆ หรืออดอาหารเป็นเวลานานๆ
อาการของนิ่วในถุงน้ำดี ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ำดีเกือบ 80% ไม่มีอาการ ซึ่งมักจะตรวจพบเจอโดยบังเอิญจากการตรวจเอกซเรย์ทั่วไป ตรวจอัลตร้าซาวน์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณช่องท้อง (CT Scan) เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี หรือวินิจฉัยโรคอื่นๆ ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด แต่แนะนำให้เฝ้าติดตามอาการเป็นระยะๆ
แต่ผู้ป่วยที่มีอาการของนิ่วในถุงน้ำดี จะมีอาการปวดท้องแบบแน่นๆต่อเนื่อง บริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา อาจร้าวไปยังบริเวณสะบักขวาหรือกลางหลังได้ อาการปวดมักถูกกระตุ้นหลังการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะมื้อที่มีไขมันสูง กลไกคือ อาหารมันจะกระตุ้นให้ถุงน้ำดีบีบตัวเพื่อปล่อยน้ำดีออกมาช่วยย่อย แต่ก้อนนิ่วที่ขวางทางออกอยู่จะทำให้อาการปวดกำเริบขึ้น อาจมีอาการทางระบบย่อยอาหารอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย หรือมีลมในกระเพาะอาหารมาก อาการเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคกระเพาะอาหารหรือกรดไหลย้อน ทำการวินิจฉัยตนเองและซื้อยามารับประทานเองจึงเป็นปัญหาที่พบบ่อย ซึ่งอาจนำไปสู่การวินิจฉัยโรคที่ล่าช้า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น เช่น ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน นิ่วในถุงน้ำดีหลุดไปอุดตันท่อน้ำดีหลัก เกิดภาวะท่อน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน หรือตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจรุนแรงจนถึงขั้นถึงแก่ชีวิตได้
การตรวจวินิจฉัยนิ่วในถุงน้ำดี ทำได้โดยทำการตรวจอัลตร้าซาวน์บริเวณช่องท้อง ซึ่งเป็นการตรวจที่มีความไว และความจำเพาะสูง สามารถวินิจฉัยนิ่วในถุงน้ำดีทั้งชนิดที่ทึบ และไม่ทึบรังสีเอกซเรย์ บางครั้งอาจจะต้องทำการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ช่องท้องร่วมด้วย ในกรณีที่สงสัยภาวะแทรกซ้อน เช่น นิ่วหลุดไปในท่อน้ำดีหลัก
การรักษานิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในถุงน้ําดี ไม่สามารถรักษาได้โดยใช้เครื่องสลายนิ่ว การรักษาโดยใช้ยาละลายนิ่วใช้ได้เฉพาะนิ่วบางชนิดเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ต้องรับประทานยาเป็นเวลานาน และเมื่อหยุดยาก็อาจเกิดนิ่วในถุงน้ําดีได้อีก ดังนั้นการรักษาที่ดีที่สุดคือการผ่าตัดเอาถุงน้ําดีออก การตัดถุงน้ําดีไม่มีผลต่อการย่อยอาหาร เพราะน้ำดีสร้างมาจากตับ ถุงน้ําดีเป็นเพียงที่เก็บพักน้ําดีเท่านั้น
ในปัจจุบันการผ่าตัดถุงน้ำดีออก สามารถทำได้โดยวิธีผ่าตัดแบบส่องกล้อง ซึ่งการผ่าตัดที่ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว เนื่องจากแผลที่เล็กทำให้ปวดแผลน้อย มีระยะการนอนโรงพยาบาลเพียง 1-2 วัน การฟื้นตัวใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก็สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ แต่ในกรณีที่ถุงน้ำดีมีการอักเสบเฉียบพลันนานเกิน 3 วัน หรือเคยมีการอักเสบมาก่อนหน้านี้ อาจจะทำให้ผ่าตัดแบบส่องกล้องได้ไม่สำเร็จ จำเป็นต้องผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องแทน ซึ่งทำให้ต้องนอนโรงพยาบาล และฟื้นตัวนานขึ้น
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่ม
คลินิกศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ
- โทร 02 849 6600